อัพเดทและเที่ยวชมงาน
Academic Program - เล่าเรื่องย่านให้เพื่อนบ้านรู้
Academic Program “เล่าเรื่องย่านให้เพื่อนบ้านรู้” พื้นที่ปล่อยของที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้และบอกเล่าเรื่องราวของชุมชน ทุกๆ ปีเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ จะมี Academic Program ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มนักศึกษาหลากหลายสาขาวิชา ได้มาร่วมปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์และส่งต่อไอเดียในการพัฒนาเมืองด้วยการออกแบบในหัวข้อที่สอดคล้องกับธีมในแต่ละปี โดยมีนักสร้างสรรค์มืออาชีพมากประสบการณ์คอยช่วยดูแล สนับสนุน และให้คำปรึกษา โดยในปีนี้ทาง Cloud-floor (คลาวด์ฟลอร์) บริษัทสถาปนิกที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองและพื้นที่สาธารณะ รับหน้าที่เป็นคิวเรเตอร์หลักประจำโครงการ เราจึงชวน ฟิวส์-นัฐพงษ์ พัฒนโกศัย ผู้ร่วมก่อตั้ง Cloud-floor มาพูดคุยถึงกระบวนการและผลงานน่าสนใจที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลที่ผ่านมา“โจทย์ของ Academic Program ในปีนี้คือ ‘เล่าเรื่องย่านให้เพื่อนบ้านรู้’ เราเลยชวนนักศึกษา 10 กลุ่มมาร่วมทำโปรเจกต์ Storytelling 10 โปรแกรม เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของย่านหัวลำโพง นางเลิ้ง และบางโพ ในแง่มุมที่คนนอกอาจจะยังไม่เคยรับรู้หรือช่วยขยายสิ่งที่เคยถูกบอกเล่าไปแล้วให้มีความพิเศษมากขึ้น ซึ่งเราทำการคัดเลือกย่านที่อยากนำเสนอร่วมกับ CEA โดยเลือกจากพื้นที่ที่คิดว่า Academic Program น่าจะเข้าไปช่วยส่งเสริมคอนเทนต์ในย่านนั้นๆ ที่เพิ่งเข้าร่วมดีไซน์วีกได้ไม่นาน ยังมีโปรแกรมหรือชิ้นงานไม่เยอะมาก”เรียนรู้แบบ ‘ข้ามศาสตร์’ เห็นโลกมากกว่าแค่สิ่งที่เรียน นอกจาก Cloud-floor ที่เป็นคิวเรเตอร์หลักแล้ว งานนี้ยังได้รับความร่วมมือจากนักสร้างสรรค์หลายวงการทั้งช่างภาพ ผู้กำกับภาพยนตร์ แฟชั่นดีไซเนอร์ และสตูดิโอออกแบบมัลติมีเดีย ที่มาร่วมเป็นเมนเทอร์ให้กับเหล่านักศึกษาด้วย ซึ่งฟิวส์อธิบายว่า “เรามีความรู้สึกว่าการเรียนรู้ข้ามศาสตร์จะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เลยคุยกับทาง CEA ว่าอยากนำเสนอกระบวนการทำงานที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ลองเอาความสามารถที่เรียนจากคณะมาผสมผสานกับศาสตร์อื่นที่ไม่ได้มีอยู่ในภาควิชา เราเลยไปชวนนักสร้างสรรค์มืออาชีพในสาขาต่างๆ มาเป็นเมนเทอร์จับคู่ทำงานร่วมกับนักศึกษา เช่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้านักศึกษาคณะสถาปัตย์ได้ทำงานร่วมกับแฟชั่นดีไซเนอร์หรือผู้กำกับภาพยนตร์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้เอาความรู้มาผสมกัน เมนเทอร์ที่มาแชร์ประสบการณ์ก็จะได้เรียนรู้จากน้องๆ ด้วย” “เราอยากให้นักศึกษาได้ลงพื้นที่และทำงานร่วมกับชุมชน อยากให้เขาได้รับประสบการณ์ในการจัดนิทรรศการหรือกิจกรรมที่จับต้องได้ ปีนี้เลยวางกรอบเอาไว้ว่า Academic Program จะไม่ใช่งานที่อยู่แค่ในกระดาษ แต่จะถูกนำเสนอออกมาในเชิงกายภาพจริงๆ นี่คือสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ แต่เราไม่ได้กำหนดว่าผลงานจะต้องเป็นอะไร อันนี้ขึ้นอยู่กับประเด็นที่เขาพบเจอจากกระบวนการลงพื้นที่และทำงานกับเมนเทอร์ เขาจะนำเสนอในมุมมองที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชน หรือนำเสนอสิ่งที่ตรงกันข้ามก็ได้ อาจจะไม่ได้พูดถึงความน่าอยู่เสมอไป แต่เราอยากให้โปรเจกต์นี้เป็นเสียงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของเมือง เพื่อให้ผู้มีอำนาจได้พิจารณาว่าพื้นที่ชุมชนตรงนั้นควรพัฒนาในแง่มุมไหน โปรเจกต์นี้อาจจะไม่ใช่การแก้ปัญหาของสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะนักศึกษาไม่ได้มีอำนาจในการแก้ปัญหานั้นโดยตรง แต่เขาสามารถเล่าเรื่องเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ เล่าถึงสิ่งที่คนในชุมชนอยากเล่า หรือเล่าเรื่องเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบริบทในชีวิตประจำวันของแต่ละพื้นที่” สร้างคุณค่าให้พื้นที่ด้วยเรื่องราวเล็กๆ ที่จับใจ“เสียงตอบรับหลังจัดแสดงงานค่อนข้างหลากหลาย แต่โดยรวมเรียกได้ว่าเกินคาดครับ ตัวอย่างเช่นโปรเจกต์ ‘Voice หัวลำโพง’ ที่จัดแสดงในโรงแรมสเตชั่น มีหลายคนบอกว่าเรื่องที่นำมาเล่ามันสะท้อนถึงความเป็นชุมชนโดยไม่ได้ปรุงแต่ง ผลงานนี้เป็นการรวบรวมเสียงของคนในชุมชนว่าหลังจากสถานีรถไฟย้ายไปอยู่บางซื่อ การที่ชุมชนหัวลำโพงมีทางด่วนตัดผ่าน หรือมีสถานีรถไฟใต้ดิน MRT เข้ามาตั้ง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันอย่างไรทั้งแง่บวกและแง่ลบ เป็นการเล่าเรื่องของชุมชนที่ไม่ได้นำเสนอแต่ด้านดี เรานำเสนอว่าความจริงคืออะไร ให้คนได้พิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงของเมืองไม่ได้มีแต่ข้อดีหรือข้อเสียเสมอไป ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนมีหลายด้านนะ อยู่ที่ว่าเราได้ฟังความคิดเห็นของคนในชุมชนครบถ้วนแล้วหรือยัง” “หรืออีกโปรเจกต์หนึ่งคือการถ่ายรูปชุดแฟชั่นของคนในชุมชน แล้วถามว่าเสื้อผ้าที่ใส่ทุกวันนี้มีความสำคัญกับเขาอย่างไร เสื้อตัวนี้มีความประทับใจยังไง เป็นแง่มุมน่ารักๆ ของคนในพื้นที่ ที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในเชิงมิติต่างๆ และคนภายนอกก็รับรู้เรื่องราวของหัวลำโพงมากขึ้น เป็นการแสดงความเข้าใจผ่านการเล่าเรื่องชีวิตประจำวันในเชิงคุณค่าต่างๆ” “ส่วนย่านนางเลิ้งก็มีกิจกรรม ‘ลาน-รื่น-เลิ้ง’ ที่นักศึกษาเขาเห็นว่าในอดีตนางเลิ้งเคยเป็นย่านเอนเตอร์เทนเมนต์ มีบ้านเต้นรำหรือชื่อทางการคือโรงเรียนสามัคคีลีลาศ เป็นโรงเรียนสอนเต้นรำให้เซเลบฯ และดาราสมัยก่อน แต่ปัจจุบันบ้านไม้หลังนี้ผุพังไปแล้ว เขาเลยอยากชวนครูที่เคยสอนเต้นรำมารื้อฟื้นความทรงจำ และเปิดสอนอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ บนดาดฟ้าโรงเรียน เป็นกิจกรรมที่น่ารักและมีคุณค่าทางจิตใจ” “กระบวนการตรงนี้จะทำให้นักศึกษาเขามีความละเอียดอ่อนในการทำงานมากขึ้น โดยเมนเทอร์ก็จะนำประสบการณ์มาช่วยสอนว่า เวลาลงพื้นที่พูดคุยกับคนในชุมชนมีสิ่งไหนที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ควรพูดคุยแบบไหนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญแทบจะที่สุดเลย เราไม่ได้เห็นคนในชุมชนเป็น Object ในการจัดแสดงงาน แต่เรากำลังร่วมกันสร้างคุณค่าให้กับพื้นที่ ซึ่งบางทีมองจากภายนอกอาจไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงประจักษ์ที่จับต้องได้ เช่น ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกเกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่คนนอกไม่ค่อยได้สัมผัสคือความรู้สึกของคนในพื้นที่ เพราะมันจับต้องไม่ได้และวัดผลยาก แต่ทุกครั้งที่ทำงานกับชุมชน เราได้เห็นว่าหลายคนเขามีความสุขที่ได้ร่วมทำกิจกรรม ได้เล่าเรื่อง ได้จัดแสดงงาน ฟังแล้วอาจดู Romanticize แต่เป็นเรื่องจริง” ทั้ง 10 โปรแกรม โดย 10 กลุ่มนักศึกษา ประกอบด้วย 1. ย่านหัวลำโพง : การเดินทางของความทรงจำ (Journey Memory) โดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ x วีระพล สิงห์น้อย (Fotomomo) ความทรงจำในอดีตที่มิอาจหวนคืน ถูกบันทึกไว้เป็นภาพถ่ายและนำมาออกแบบลายพิมพ์เพื่อพิมพ์ลงบนผ้าฝ้ายเนื้อธรรมชาติด้วยเทคนิค Cyanotype2. ย่านหัวลำโพง : Diito! Hua Lamphong โดย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขานวัตกรรมการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงบูรณาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ x ชยนพ บุญประกอบ ภาพยนตร์สั้นกึ่งทดลองที่นำเสนอเรื่องราว ร่องรอย และการเปลี่ยนผ่าน โดยการมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส 3. ย่านหัวลำโพง : voice หัวลำโพง โดยคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง x Cloud-floor หัวลำโพงเป็นย่านที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของเมืองมากที่สุดย่านหนึ่งของกรุงเทพฯ เราจึงอยากให้ผู้ชมได้ฟังเสียงของคนในชุมชนและนอกชุมชนเพื่อเปิดมุมมองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่เกิดขึ้น 4. ย่านหัวลำโพง : 88/610 โดยสาขาครีเอทีฟอาร์ตและกราฟิกครีเอทีฟ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา x ม๊าเดี่ยว-อภิเชษฐ์ เอติรัตนะ ซีรีส์ภาพถ่ายประกอบคำบอกเล่าและผลงานศิลปะจัดวางที่ชวนผู้คนมาบอกเล่าเรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้า ทรงผม เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ ที่แสดงถึงทักษะอาชีพของคนในชุมชนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 5. ย่านบางโพ : ภาพแปะสลักโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ x วีระพล สิงห์น้อย (Fotomomo) ผลงานศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อสื่อสารวิถีชีวิตของอาชีพแกะสลักไม้ที่บางโพ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านแห่งไม้6. ย่านบางโพ : Soul of the Craftsman โดยคณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ สาขาสถาปัตยกรรม และสาขาออกแบบภายใน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ x XD49 นิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวของช่างฝีมือบางโพ ที่สะท้อนความแข็งแรงและโดดเด่นของย่าน โดยเล่าผ่านการรับรู้ทั้ง 5 คือ เห็น ฟัง สัมผัส ได้กลิ่น และลงมือทำ7. ย่านนางเลิ้ง : ลาน-รื่น-เลิ้ง (Lan-Ruen-Loeng) โดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต x ชยนพ บุญประกอบ เปิดพื้นที่สะท้อนการมีอยู่ของบ้านเต้นรำที่เคยเป็นที่รู้จักของคนในย่าน ให้ผู้คนได้กลับมาร่วมเต้นรำอีกครั้ง และมีการสอนเต้นลีลาศให้เหล่าหนุ่มสาวยุคใหม่ด้วย8. ย่านนางเลิ้ง : นางเลิ้ง รื่นเริง ไม่เลือนราง โดยสาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ (หลักสูตรนานาชาติ) CommDe จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย x XD49 พาทุกคนหวนสู่ความรื่นเริงจากย่านบันเทิงเก่า ผ่านตั๋วกระดาษที่เป็นตัวกลางสู่ความบันเทิงและโชว์เรื่องราวประวัติศาสตร์อันน่าจดจำ9. ย่านนางเลิ้ง : จักรวาลกล้วยเเขก โดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ สาขาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ x Cloud-floor นำจุดเด่นของถุงกล้วยเเขกเมนูขึ้นชื่อประจำย่าน มาออกเเบบลวดลายเเละลงสีให้สามารถประกอบกันเป็นภาพของย่านโดยมีการใช้สีของนางเลิ้งที่เป็นจุดเด่น 10. ย่านนางเลิ้ง : Scrawl เส้นสมมติ โดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี x ม๊าเดี่ยว-อภิเชษฐ์ เอติรัตนะ สื่อสิ่งพิมพ์นับเป็นประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งของนางเลิ้ง ผู้แสดงงานจึงอยากเชิญชวนผู้คนให้มาเขียน วาด ละเลง ปลดปล่อยความรู้สึกและความคิดสร้างสรรค์ออกมาอย่างเต็มที่บนกระดาษแผ่นใหญ่ที่จัดเตรียมไว้–Bangkok Design Week 2024Livable Scapeคนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี27 Jan – 4 Feb 2024#BKKDW2024#BangkokDesignWeek#LivableScape
21 มี.ค. BBBB
Community Vibes คุยกับคนรุ่นใหม่จากย่านนางเลิ้ง
Community Vibes คุยกับคนรุ่นใหม่จากย่านนางเลิ้ง ที่ใช้การออกแบบ ‘จูนคลื่น’ ให้ชุมชนดั้งเดิม ศิลปะร่วมสมัย และผู้ชมงานแฮปปี้ไปด้วยกัน‘ย่านนางเลิ้ง’ คือชุมชนเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีเรื่องราวน่าสนใจซุกซ่อนอยู่มากมาย ในอดีตย่านนี้เคยเป็นศูนย์กลางความเจริญ โดยมีตลาดนางเลิ้งเป็นตลาดบกแห่งแรกของไทย นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของละครชาตรีที่เป็นตำนานคู่ย่าน โดยมีบ้านครูดนตรีไทยและคณะละครในอดีตรวมตัวกันอยู่หลายแห่ง ทว่าเมื่อเวลาผันผ่าน บทบาทความสำคัญของนางเลิ้งกลับเลือนรางจางหาย จนเกิดคำถามว่าเราจะทำอย่างไรให้ผู้คนรับรู้เสน่ห์ของย่านเก่าและหันมาร่วมกันพัฒนาย่านให้น่าอยู่ไปพร้อมๆ กับรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมไว้ไม่ให้สูญหายตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ จึงชวน น้ำมนต์-นวรัตน์ แววพลอยงาม ผู้นำชุมชนรุ่นใหม่แห่งย่านนางเลิ้งที่ขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนด้วยศิลปะมานานหลายปี มาร่วมสร้าง Community Vibes กระบวนการจูนคลื่นให้ตรงกันระหว่างชุมชนและเทศกาล หาจุดบรรจบที่ลงตัวระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย โดยน้ำมนต์วางเป้าหมายไว้ง่ายๆ ว่าดีไซน์วีกที่นางเลิ้งจะต้องทำให้ทุกคนแฮปปี้ ทั้งชุมชน ศิลปิน และผู้เข้าชมงาน เรียนรู้อดีต พัฒนาปัจจุบัน เพื่อสร้างอนาคตให้นางเลิ้ง “ก่อนน้ำมนต์เกิด นางเลิ้งเคยเป็นย่านที่เจริญรุ่งเรืองเหมือนสยามสแควร์ของคนยุคนี้ ตลาดเปิดทั้งวันทั้งคืนไม่เคยหลับ เราเติบโตมากับเรื่องเล่าเหล่านี้ ส่วนยุคที่น้ำมนต์เกิดอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคมืด ตลาดซบเซา ศูนย์ราชการย้ายออกไป โรงหนังที่มีความทรงจำของผู้คนมากมายถูกปิด แล้วเราเติบโตมาในครอบครัวที่คุณแม่เป็นผู้นำชุมชน คนนางเลิ้งส่วนใหญ่เป็นคนดั้งเดิมผู้คนรู้จักกันหมด เวลามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นคนในชุมชนจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อบ้านเกิดตามสไตล์ของตัวเอง ทุกคนทำงานเพื่อชุมชน ไม่ได้มาอาศัยอยู่เพื่อทำงานเก็บเงินเลิกงานกลับเข้าบ้าน” “แล้วก็ส่งต่อมาถึงยุคที่น้ำมนต์เริ่มเข้ามาทำงานชุมชนจริงจัง ประมาณปี 2007 เราตั้งกลุ่มชื่อ อีเลิ้ง (E-Lerng) ชวนเพื่อนๆ ศิลปินทั้งไทยและต่างชาติมาช่วยกันทำโปรเจกต์ โดยที่เรายังไม่รู้ว่านางเลิ้งจะอยู่หรือไปจากการถูกไล่ที่รื้อถอน แต่ชุมชนก็พยายามสร้างโซเชียลมูฟเมนต์ให้คนรู้สึกหวงแหนนางเลิ้งร่วมกัน สิบกว่าปีที่แล้วคนยังไม่ค่อยเก็ตว่างานชุมชนคืออะไร แต่พอมีการจัดเทศกาล มีศิลปินทำงานชุมชน มีการท่องเที่ยวชุมชน ก็ทำให้คนเข้าใจเรื่องพวกนี้มากขึ้น เด็กๆ รุ่นใหม่เริ่มสนใจคำว่าชุมชน เริ่มเป็น Active Citizen ทุกวันนี้ยังไม่ได้ฟันธงว่าชุมชนนางเลิ้งจะได้อยู่ต่อไปไหม แต่น้ำมนต์คิดว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น คนเริ่มเห็นความสำคัญของชุมชนเก่าในประเทศไทยมากขึ้น เริ่มเห็นภาพว่าการพัฒนากับการเก็บรักษาต้องทำคู่กันยังไงจากบทเรียนของหลายๆ ชุมชนที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่านางเลิ้งจะต้องอยู่แบบห้ามเปลี่ยนแปลง แต่น้ำมนต์คิดว่าการพัฒนาควรทำคู่ไปกับการเก็บรักษาบางอย่างไว้” ต่อมาน้ำมนต์ได้ก่อตั้ง COMMUNITY LAB ขึ้นมา เป็นองค์กรที่ทำงานด้านศิลปะเชิงพัฒนาสังคมซึ่งต่อยอดมาจากอีเลิ้ง โดยเพิ่มเติมระบบการจัดการฐานข้อมูลทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อทำหน้าที่บันทึกอดีต ขับเคลื่อนปัจจุบัน และรวบรวมทรัพยากรไว้สำหรับอนาคต ซึ่งน้ำมนต์อธิบายเพิ่มเติมว่า “น้ำมนต์ทำงานชุมชนและอีกพาร์ตหนึ่งก็เป็นศิลปิน เราเลยสนใจประวัติศาสตร์ที่ค่อยๆ หายไปในแต่ละย่าน และอยากทำแพลตฟอร์มที่เก็บรวบรวมข้อมูลในเชิงการศึกษาวิจัย ยกตัวอย่างเช่น เราใช้เทคโนโลยี 3D สแกน เก็บท่ารำของครูนางรำชาตรีแบบดั้งเดิมคนสุดท้ายไว้ ใครอยากทำโปรเจกต์เกี่ยวกับละครชาตรีก็มาศึกษาข้อมูลได้ เรามีฐานข้อมูล 12 ท่ารำที่หมุนดูได้ 360 องศาเลย”ปรับจูนสร้างความเข้าใจระหว่างชุมชนกับศิลปะร่วมสมัย ส่วน Community Vibes คือโปรแกรมทดลองที่น้ำมนต์ออกแบบขึ้นโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ Local Studio, COMMUNITY {art} LAB และ Immersive Exhibition ซึ่งน้ำมนต์เล่าถึงแต่ละส่วนไว้อย่างน่าสนใจ “ส่วนแรก Local Studio จะมีโปรแกรมทัวร์เดินชุมชนลัดเลาะตรอกซอกซอย พากินอาหารร้านคุณป้าคนนั้นคนนี้ มีเวิร์กช็อปต่างๆ ที่ศิลปินสามารถใช้โปรแกรมเหล่านี้ได้ ศิลปินบางคนอยากทำเรื่องละครชาตรีมากเลย หรือสนใจการทำบาตรพระแบบดั้งเดิมในชุมชนบ้านบาตร ถ้าไม่มีคอมมูนิตี้คอยซัพพอร์ต เขาอาจจะเข้ามาเดินถ่ายรูปกลับไปมโนที่บ้าน ซึ่งผลงานมันอาจจะไม่สามารถดึงสกิลของศิลปินออกมาได้เท่าที่ควร ขณะเดียวกันข้อมูลที่เขามีอย่างจำกัดก็ไม่ได้มาจากรากวัฒนธรรมจริงๆ ของชุมชน น้ำมนต์เลยอยากคิดโปรแกรมที่ทำให้ผลงานในดีไซน์วีกดีทั้งต่อตัวศิลปินเอง ดีทั้งต่อชุมชน และตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของเทศกาล” “ส่วนที่สอง COMMUNITY {art} LAB เป็นสเปซห้องแอร์เย็นๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก FREC Bangkok หลังจากศิลปินได้แรงบันดาลใจมาแล้วก็มาทำงานตรงนี้จะได้ไม่รบกวนชุมชน เพราะพวกศิลปินส่วนใหญ่ทำงานกันดึกถึงสี่ห้าทุ่ม โดยกลุ่มเป้าหมายแรกคือเราอยากดึงคนรุ่นใหม่ที่ทำงานสายศิลปะมาร่วมโปรเจกต์ ซึ่งได้น้องๆ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เข้ามาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มแรก แล้วพอเราเปิดตัวโปรเจกต์ออกไปก็มีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าร่วมทั้งในไทยและต่างประเทศ ทำให้เราเห็นว่านักออกแบบหรือศิลปินเขาต้องการพื้นที่แบบนี้ในการสร้างผลงานที่มีคุณภาพมากขึ้น” “ส่วนที่สาม Immersive Exhibition จะสัมพันธ์กับสองส่วนแรก คือการจัดแสดงผลงานของศิลปินโดยมีคนในชุมชนคอยให้คำแนะนำ อย่างศิลปินกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปสลัมแล้วเห็นว่ามีบ้านหนึ่งแบ่งโซนบ้านด้วยกองผ้า เขาสนใจเล่าเรื่องนี้ โลเคชันจัดแสดงงานก็ควรอยู่ใกล้ในสลัม COMMUNITY LAB จะช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดแสดงงาน ช่วยจูนการทำงานระหว่างศิลปินกับชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อขัดแย้ง”“เรานำโมเดลนี้มาทำงานในฐานะผู้นำชุมชน ไม่ได้ทำในฐานะนักออกแบบ เราอยากให้คนในชุมชนได้มีโอกาสคิวเรตงานร่วมกับศิลปิน น้ำมนต์คิดว่าการมีโปรแกรมแบบ Community Vibes ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างคนในกับคนนอก ระหว่างเทศกาลกับชุมชน มันน่าจะดีต่อทุกฝ่าย” น้ำมนต์กล่าวทิ้งท้ายไว้ถึงความสำคัญของ ‘การจูนคลื่น’ ที่เธอกำลังขับเคลื่อนและอยากส่งต่อแนวคิดให้ชุมชนอื่นที่มีนิเวศการอยู่อาศัยใกล้เคียงกับนางเลิ้งสามารถนำไปปรับใช้ได้เช่นกัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/communitylab.co–Bangkok Design Week 2024Livable Scapeคนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี27 Jan – 4 Feb 2024#BKKDW2024#BangkokDesignWeek#LivableScape
14 มี.ค. BBBB
เปิดบ้านศาลพระภูมิ นิทรรศการเวรี่ไทยที่อยากชวนตั้งคำถามถึงการเป็นเจ้าของพื้นที่
‘เปิดบ้านศาลพระภูมิ’ นิทรรศการเวรี่ไทยที่อยากชวนตั้งคำถามถึงการเป็นเจ้าของพื้นที่เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ปีนี้ People of Ari กลุ่มนักสร้างสรรค์ประจำย่านอารีย์ นำเรื่องราวของ ‘ศาลพระภูมิ’ ที่เราคุ้นเคยมาบอกเล่าในมุมมองใหม่ โดยชวนแก่น – สารัตถะ จึงเสถียรทรัพย์ ศิลปินเจ้าของเพจ Uninspired by Current Events ผู้สร้างงานศิลปะแนว 3D เนื้อหาเสียดสีสถานการณ์บ้านเมืองอย่างเฉียบคมมาร่วมเป็นดีไซเนอร์ จำลองศาลพระภูมิขนาดยักษ์ขึ้นมาในบ้านเก่าของอดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และได้กลุ่มละคร AT Theatre มาเปิดการแสดงพิเศษ เพื่อพาคนดูก้าวเข้าไปสู่โลกอีกมิติหนึ่ง เปียโน – ธันยพร รักษ์เถา คิวเรเตอร์จาก People of Ari บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้ว่า “People of Ari เป็นโรงละครและครีเอทีฟสเปซที่ต่อยอดมาจาก Yellow Lane ซึ่งเราอยากแบ่งปันสเปซในการทำงานศิลปะให้เกิดขึ้นในย่านอารีย์ และเรามองหาศิลปินหลายๆ แขนงอยู่ตลอดเวลา แล้วเราชอบงาน Politic ที่มีความเสียดสีเบาๆ ดูมีชั้นเชิง เลยติดต่อพี่แก่นไปว่าสนใจอยากร่วมงานด้วย”ระดมไอเดียก่อร่างสร้างศาลพระภูมิหลังจากนั้นก็นำมาสู่การพูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดียกัน โดยแก่นสนใจภูมิหลังของสถานที่ในแง่ที่เคยเป็นบ้านของอดีตนายกรัฐมนตรี และในอดีตอารีย์ก็เคยได้ชื่อว่าเป็นย่านที่อยู่อาศัยของขุนนางและชนชั้น ก่อนจะกลายมาเป็นย่านสุดชิคแบบทุกวันนี้ “อารีย์เป็นย่านที่ค่อนข้างจะถูก Gentrification ไปแล้ว มีฝรั่ง Expat มาอยู่เยอะ เลยคิดว่าเรื่องราวของศาลพระภูมิน่าจะตอบโจทย์ หนึ่งคือมันแมสมาก มันเวรี่ไทยในมุมของ Expat แต่เขาอาจจะยังสงสัยว่าสิ่งที่เห็นมาตลอดคืออะไร เลยอยากให้เขาได้มารับประสบการณ์นอกเหนือจากสิ่งที่คุ้นเคยในประเทศนี้ ขณะเดียวกันมันก็ทำงานกับสถานที่ที่เป็นบ้านของคนเก่าคนแก่ ในทางฟังก์ชั่นมันก็คล้ายๆ กับศาลพระภูมิในตัวของมันเองอยู่แล้ว” “เบื้องหลังก็มีการพูดคุยกันหลายแง่มุมว่า เราจะเล่าเรื่องศาลพระภูมิในแง่ไหน เราจะเสียดสีแค่ไหน เราจะพูดถึงชนชั้นปกครองหนักแค่ไหน สุดท้ายงานที่ออกมาคือการมองศาลพระภูมิตามธรรมชาติ เช่น การที่ของไหว้บางชิ้นเละเทะเน่าเสียไปตามธรรมชาติ เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เราอยากมองสิ่งนี้ตามความเป็นจริง ไม่ได้เอามาทำในลักษณะของการล้อเลียน ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นบทสนทนาที่น่าสนใจกว่า” “นอกจากนี้ไอเดียบางส่วนก็มาจากดีไซน์วีคปีที่แล้ว เราแวะมาเดิน Yellow Lane แล้วเห็นงาน The Forbidden Marsh ที่ให้คนลุยน้ำได้ เลยอยากทำนิทรรศการที่ใช้สเปซได้คุ้มแบบนั้นบ้าง ก็ออกมาเป็นศาลพระภูมิแบบ Immersive ที่คนดูสามารถมีส่วนร่วมและหยิบจับชิ้นงานมาไหว้ขอพรได้ ขณะเดียวกันก็อยากให้ภาพรวมดูเหมือนงานที่ปกติเราทำลงเพจด้วย” โดยงานนี้ได้ ลูกตาล – สรวรรณ บุญยะพุกกะนะ มาเป็นโปรดิวเซอร์ในการผลิตชิ้นงาน เพื่อทำให้ภาพร่างสำเร็จออกมาเป็นองค์ประกอบต่างๆ ภายในศาลพระภูมิที่จับต้องได้ “พี่เขาดีไซน์มายังไงเราก็ยึดตามนั้นไว้ก่อนเลย แล้วมาดูว่าจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ของบางอย่างมีวิธีประดิษฐ์อยู่แล้วในสเกลเล็ก ถ้าจะทำให้เป็นสเกลใหญ่ต้องหาวัสดุที่แตกต่างออกไปเพื่อให้สามารถคงตัวคงรูปได้มากขึ้น แล้วก็เอาพวกเท็กซ์เจอร์มาเลือกกับพี่ๆ อีกทีว่าใช้กระดาษอันนี้ภาพที่ออกมาจะเหมือนของจริงไหม ต้องให้คนหยิบจับแล้วไม่เสียหายง่าย อย่างดอกไม้ก็จะใช้กระดาษว่าวกับกระดาษไขแบบขุ่นมาทำ” ซึ่งเปียโนช่วยเสริมว่านอกจากความสวยงามสมจริงแล้ว อีกประเด็นที่ทีมให้ความสำคัญคือการหาจุดสมดุลที่ลงตัวระหว่างการทำงานให้ตรงตามโจทย์การดีไซน์และเรื่องสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นโฟมเป็นวัสดุที่ราคาถูกมากแต่ยากต่อการนำไปรีไซเคิล ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นแทนสร้างปฏิสัมพันธ์เพื่อตั้งคำถามกับ ‘การเป็นเจ้าของที่’นอกจากเป็นนิทรรศการแล้ว บ้านศาลพระภูมิยังถูกใช้งานอย่างคุ้มค่า ด้วยการเป็นฉากของการแสดงแบบ Interactive ภายใต้คอนเซปต์ไอเดียเดียวกันแต่เล่าเรื่องราวในมิติที่ลึกขึ้น และในระหว่างเทศกาลกิจกรรมหลักของ People of Ari อย่างการแสดงดนตรีและการเต้นสวิงก็ยังคงดำเนินไปภายใต้ฉากศาลพระภูมิ โดยออกัส – ปวริศร กิจวานิชรุ่งเรือง หนึ่งในทีมผู้สร้างสรรค์การแสดงขยายความเพิ่มเติมว่า “โจทย์หลักคือเราอยากให้เป็นการแสดงที่คนดูสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับศาลพระภูมิขนาดใหญ่ได้ เราเลยให้นักแสดงและคนดูรับบทเป็นของถวายที่เห็นกันบ่อยๆ อย่างไก่ ม้าลาย และนางรำ โดยนักแสดงคือของถวายที่อยู่มานานกว่า เขาเลยเป็นแคนดิเดตที่จะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าที่คนต่อไป ส่วนคนดูคือของถวายที่มาใหม่ ซึ่งหลักๆ เราต้องการพูดถึงประเด็นการเป็นเจ้าของพื้นที่” ส่วนในพาร์ตของการแสดงดนตรีและกิจกรรมอื่นๆ เมี่ยง – ปานมาศ ทองปาน คิวเรเตอร์จาก People of Ari ช่วยเล่าเสริมดังนี้ “People of Ari จัดกิจกรรมดนตรีเป็นประจำอยู่แล้ว ช่วงที่มีนิทรรศการเราจึงพยายามคิวเรตธีมหรือเลือกกิจกรรมให้ส่งเสริมการเล่าเรื่องด้วย อย่าง Jazz Night ที่อยู่ในบ้านศาลพระภูมิก็จะเป็นเพลงแจ๊สที่มีกลิ่นอายเข้ากับนิทรรศการ ซึ่งงานอื่นๆ ของ People of Ari ก็มีจุดประสงค์ประมาณนี้ นอกจากนิทรรศการที่เป็นอีเวนต์หลักแล้ว เราอยากให้เซตติ้งถูกใช้ให้เกิดประโยชน์และสร้างความหมายอื่นให้กับการแสดงที่จัดขึ้นในพื้นที่เดียวกันด้วย เราเลยวางตัวเองเป็น Theatre เพื่อให้ตอบรับกับจุดประสงค์หลายๆ อย่างในการใช้การพื้นที่”ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/peopleofaribkk–Bangkok Design Week 2024Livable Scapeคนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี27 Jan – 4 Feb 2024#BKKDW2024#BangkokDesignWeek#LivableScape
07 มี.ค. BBBB
mapmap GO! แผนที่เดินเท้าเพื่อทุกคนที่อยากสนิทกับเมืองมากขึ้น
mapmap GO! แผนที่เดินเท้าเพื่อทุกคนที่อยากสนิทกับเมืองมากขึ้น เวลาอยากเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง คนส่วนใหญ่มักค้นหาเส้นทางผ่านกูเกิลแมป ที่ช่วยพาเราไปถึงสถานที่นั้นโดยไม่หลง และแนะนำวิธีการพาเราไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด แต่ในอีกมุมหนึ่ง การเดินทางอันรวดเร็วที่ทำให้เราโฟกัสเพียงต้นทางกับปลายทาง ก็อาจทำให้เราพลาดการทำความรู้จักเส้นทางนั้นอย่างใกล้ชิดไปโดยปริยาย รวมถึงไม่อนุญาตให้เราสนใจและดื่มด่ำสิ่งที่อยู่ระหว่างทางมากนัก ด้วย Pain point นี้ที่ลงล็อกเหมาะเจาะกับยุคสมัยที่คนหันมาสนใจสำรวจเมืองที่ตัวเองอยู่มากขึ้น แผนที่เดินเท้า mapmap GO! จึงเกิดขึ้นเพื่อเขย่ามุมมองของคุณที่มีต่อเมืองให้เปลี่ยนไปกว่าจะมาเป็น mapmap GO! mapmap GO! เกิดจากความร่วมมือระหว่าง mor and farmer กลุ่มนักออกแบบที่นำข้อมูลวิจัยมาสร้างเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลและสื่อใหม่เพื่อปรับปรุงเมืองให้ดีขึ้น และ Refield Lab กลุ่มภูมิสถาปนิกที่สนใจการวางแผนและออกแบบพื้นที่ โดยเชื่อมโยงความรู้ด้านงานออกแบบเข้ากับการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ mor and farmer และภาคีเครือข่าย ได้พัฒนาแพลตฟอร์มชื่อ mapmap ขึ้นมาเป็นฐานข้อมูล เพื่อทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานครในการพัฒนาพื้นที่สาธารณะสีเขียว โดยนำฐานข้อมูลมาวิเคราะห์หาพื้นที่ที่มีศักยภาพและวางแนวทางในการพัฒนาพื้นที่นั้นๆ หลังจากรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่มาได้จำนวนหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มเกิดความคิดอยากเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ออกไปให้ผู้คนรับรู้ในวงกว้าง แต่ถ้านำข้อมูลจำนวนมหาศาลออกมากางแบบทื่อๆ คงยากที่จะดึงดูดความสนใจของคนทั่วไปได้ ทีมงานจึงสรุปย่อข้อมูลเหล่านั้นออกมาเป็นแผนที่กระดาษขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลส่งเสริมการเดินเท้าสำรวจ ‘บางกอกใหญ่’ ย่านต้นแบบที่เลือกมาเป็นพื้นที่นำร่อง เพื่อบอกเล่าถึงเส้นทางน่าเดินสำหรับนักเดินท่องเมืองที่สนใจเรื่องราวเชิงลึก และร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมเดินย่านกับ mapmap GO! ขึ้น ในช่วงเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ‘บางกอกใหญ่’ ย่านนำร่องที่รุ่มรวยด้วยร่องรอยประวัติศาสตร์เมื่อถามว่าทำไมจึงเลือกย่านบางกอกใหญ่มาเป็นพื้นที่นำร่อง ทีมงานได้อธิบายเหตุผลประการแรกไว้อย่างน่าสนใจว่า ย่านบางกอกใหญ่เป็นพื้นที่เมืองเก่าที่มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ทั้งโบราณสถาน วัดเก่าแก่ และชุมชนดั้งเดิมกระจายตัวอยู่มากมาย นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สีเขียวอย่าง สวนบางกอกใหญ่ สวนสาธารณะใจกลางฝั่งธนฯ ที่มีร่องสวนอยู่ในนั้นด้วย และสวนลุงสรณ์ สวนเกษตรของปราชญ์ชุมชนที่เป็นต้นแบบของแหล่งอาหารใกล้บ้าน จัดว่าเป็นอีกหนึ่งย่านที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสำรวจวิถีชีวิตชุมชน ส่วนเหตุผลอีกประการหนึ่งคือ เนื่องจากมีภาคีเครือข่ายที่เคยทำงานร่วมกัน ทั้งกลุ่มยังธน CROSSs and Friends และชุมชนภายในย่าน ซึ่งสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและการสำรวจพื้นที่เพิ่มเติม ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การลงพื้นที่พูดคุยกับวินมอเตอร์ไซค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นทางลับประจำย่าน การเยี่ยมชมพื้นที่เกษตรและพื้นที่สีเขียวสาธารณะ ชวนเดินเท้าสำรวจบางกอกใหญ่จุดประสงค์หลักของ mapmap GO! คือการเชิญชวนทุกคนมาเดินเท้าสำรวจเมืองศึกษารายละเอียดที่ซุกซ่อนอยู่ โดยในแผนที่จะสอดแทรกข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์และคุณค่าย่านนั้นๆ เอาไว้ด้วย ทั้งในแง่มุมของชุมชนและตลาด ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเมื่อเราเริ่มสัมผัสเมืองในระดับที่ใกล้ชิดขึ้น เราก็จะได้เห็นสิ่งที่อาจไม่เคยเห็นในชีวิตประจำวันที่รีบเร่ง ประสบการณ์ที่เราได้จากการเดินเท้า จึงอาจนำไปสู่การตั้งคำถามที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาเมืองในแมปยังมีการแนะนำ 5 เส้นทางไว้เป็นไอเดียให้สามารถเลือกหรือลองออกแบบเส้นทางเดินเท้าในแบบของตัวเอง ได้แก่เส้นทางที่ 1 “นิเวศเกษตรร่องสวน” สำรวจความสัมพันธ์ของสายน้ำกับพื้นที่เกษตรกรรมในย่านเส้นทางที่ 2 “ลัดเลาะริมแม่น้ำ” เส้นทางริมน้ำที่เดินเล่นจากถนนจรัญสนิทวงศ์ไปถึงวัดอรุณได้เส้นทางที่ 3 “วัดวาอาราม” เส้นทางสำรวจวัดและศาสนสถานสำคัญที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์เส้นทางที่ 4 “พิพิธภัณฑ์ชีวิต” พาชมงานศิลปะและพิพิธภัณฑ์ภายในย่าน ไปจนถึงตลาดของกินขึ้นชื่อเส้นทางที่ 5 “บางกอกใหญ่ใหญ่” สำรวจบางกอกใหญ่ทั้งเขตเพื่อเข้าใจภาพรวมของย่านในหนึ่งวัน โดยเส้นทางเหล่านี้ทีมงานลงพื้นที่เดินสำรวจมาแล้วทั้งหมด ข้อมูลในแผนที่จึงมีทั้งมิติทางสิ่งแวดล้อม จุดหมายปลายทางที่ควรแวะ รวมถึงแนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเดินเท้า เช่น สิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรค เส้นทางที่มีร่มเงาไม้ เส้นทางเลียบชายคลองใกล้ชิดธรรมชาติ พื้นที่ที่อากาศร้อนควรหลีกเลี่ยง เส้นทางที่มีไฟส่องสว่างริมถนนเพิ่มความปลอดภัยในยามค่ำคืน และในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา mor and farmer และ Refield Lab ได้จัดกิจกรรมชวนเดินสำรวจย่านบางกอกใหญ่ ด้วยแผนที่ mapmap GO! โดยเน้นไฮไลต์อย่างสวนเกษตร วัดเก่าแก่สมัยอยุธยา และชุมชนตลาด เพื่อชวนผู้คนมาทำความรู้จักย่านนี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง นอกจากนี้ทีมงานยังอยากฟังเสียงตอบรับจากคนที่มาร่วมทดลองใช้แผนที่ว่าได้รับประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพื่อนำความคิดเห็นไปพัฒนาโปรเจกต์ต่อไป รวมถึงต้องการสร้างบทสนทนาชวนคิดชวนคุยระหว่างทาง ซึ่งหากเป็นไปได้ในอนาคตทีมงานก็อยากจัดโปรแกรมพิเศษให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตมาร่วมเดินด้วย เพื่อรับรู้ปัญหาของพื้นที่ร่วมกันและนำไปสู่การแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความเชื่อว่า การมีข้อมูลที่ดีจะช่วยให้นักพัฒนามองเห็นศักยภาพและปัญหาของเมืองได้ตรงจุด สามารถวางแผนฟื้นฟูเมืองให้น่าอยู่น่าเดินเที่ยวเล่นต่อไปได้ในอนาคต ส่วนการชวนคนจากภายนอกเข้ามาทำความรู้จักพื้นที่และซึมซับวิถีชีวิตของคนในย่าน ก็สามารถกระตุ้นการมีส่วนร่วมและขยายเครือข่ายไปสู่การทำโปรเจกต์ใหม่ๆ ร่วมกันในอนาคตได้ โดยแผนที่ลักษณะนี้สามารถนำไปปรับใช้กับย่านอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจในแง่มุมที่แตกต่างหลากหลาย แต่ยังไม่ถูกค้นพบหรือยังไม่ได้รับการสื่อสารนำเสนอออกไปให้แพร่หลายในวงกว้างดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/CANCommunityActNetwork –Bangkok Design Week 2024Livable Scapeคนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี27 Jan – 4 Feb 2024#BKKDW2024#BangkokDesignWeek#LivableScape
29 ก.พ. BBBB
แนวคิด Regenerative งานออกแบบดีๆ ช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้ โดย Ctrl+R Collective
ในขณะที่การออกแบบและสร้างสรรค์เป็นไปเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์ อีกด้านหนึ่งเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกการสรรค์สร้างล้วนใช้ต้นทุนมาจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วเราจะหาสมดุลที่ดีต่อเราและดีต่อโลกได้อย่างไร?Ctrl+R Collective คือชื่อกลุ่มนักสร้างสรรค์หลากหลายสาขาอาชีพที่ชวนคุณมาหาคำตอบนั้น ด้วยความสนใจที่มีร่วมกันในแนวคิด Regenerative Design หรือการออกแบบเชิงปฏิรูปฟื้นฟู ซึ่งต่อยอดมาจากแนวคิดเรื่องความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นคืนสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในทุกๆ ด้าน เพื่อให้เกิดการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานออกแบบสุดเจ๋งที่แสดงตัวอย่างให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ใหม่ๆ อะไรบ้างในการรักษ์โลกไปพร้อมๆ กับการใช้ชีวิตอย่างรื่นรมย์ เยล-อัญญา เมืองโคตร นักออกแบบที่ยึดหลักการออกแบบเชิงหมุนเวียนและเชี่ยวชาญด้านวัสดุชีวภาพ เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการรวมตัวกันว่า “Ctrl+R Collective เกิดขึ้นมาจากโปรเจกต์ที่เยลกำลังทำสตาร์ตอัปไมซีเลียม (Mycelium) เส้นใยจากเห็ดราร่วมกับเพื่อน แล้วอยากเอามาโชว์ในงาน Bangkok Design Week จึงพกไอเดียนี้มาเสนอ พี่อิ๊บ-คล้ายเดือน สุขะหุต และพี่โต๋-นุติ์ นิ่มสมบุญ ผู้ก่อตั้งพื้นที่เพื่อจิตใจและสิ่งแวดล้อมที่สมดุลอย่าง Slowcombo เพื่อขอใช้สถานที่ พอฟังแล้วทั้งสองเก็ตและอินไปกับเรา จึงได้พื้นที่เป็นห้องนิทรรศการบนชั้นสาม ที่ใหญ่มากจนไม่สามารถจัดแสดงแค่งานเดียวได้ จากตรงนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เยลไปชวนคนที่มีมายด์เซ็ตเดียวกันมารวมกลุ่ม โดยไม่ได้คิดภาพเลยว่าการรวมตัวจะใหญ่ขนาดนี้ แต่เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องใหญ่เลยมีพาร์ตเนอร์สนใจอยากเข้าร่วมกับเราเยอะ อย่างเช่นเราได้ GroundControl มาเป็นมีเดียพาร์ตเนอร์ แล้วเขาก็ชวนศิลปิน MY MAYO และ Pineapple Print Press Studio มาจัดกิจกรรมกับเราด้วย” นิทรรศการที่รวมทุกมิติของ ‘การออกแบบ × สิ่งแวดล้อม’ ตลอดหนึ่งเดือนเต็ม!ท็อท-ธรัฐ หุ่นจำลอง ผู้ร่วมก่อตั้ง Wasteland และมีความสนใจขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการอาหารและเครื่องดื่มรวมถึงอุตสาหกรรมบริการ คือหนึ่งในกำลังสำคัญของโปรเจกต์ Regenerative Commodities – Exhibition & Experiences เขาอธิบายเสริมว่า “สมาชิกตั้งต้นของ Ctrl+R Collective มีทั้งหมด 8 คน จุดประสงค์หลักในการรวมตัวก็เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยเราตั้งใจนำเสนอสิ่งที่คนทั่วไปเห็นทุกวัน พวกวัสดุที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่ถูกมองข้ามไปในมุมของสิ่งแวดล้อม” “เรามาเทคโอเวอร์พื้นที่ทั้งสามชั้นของ Slowcombo จัดงานหนึ่งเดือนเต็มตั้งแต่ 27 มกราคม ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2567 ชั้นแรกเน้นเรื่องการสร้างประสบการณ์เป็นหลัก มีเวิร์กช็อป เวทีเสวนา แล้วก็เป็นห้องโชว์เคสของพาร์ตเนอร์และสปอนเซอร์ เช่น โรงแรมศิวาเทลที่ยกพืชพรรณจากสวนลอยฟ้ามาจัดเวิร์กช็อปเบลนด์ชาและแชร์ประสบการณ์การจัดการขยะอาหารที่เขาทำมาเป็นสิบปีแล้ว หรือ Practika ที่ทำเฟอร์นิเจอร์จากการอัปไซเคิลวัสดุ ชั้นสองเป็นโซนที่แบ่งเป็นห้องของ Conscious Fashion Mini Market ที่รวมสินค้าแฟชั่นที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม มี Soho House มาจัดมุม Regenerative Community Corner และนิทรรศการ The Future of Shopping Bag โดยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล”“ส่วนชั้นสามเป็นโชว์เคสของพวกเรา Ctrl+R Collective ซึ่งเราตั้งใจจะทำงานด้านนี้กันต่อไปเรื่อยๆ หลังงานนี้สิ้นสุดลงด้วย ไม่ได้มารวมตัวกันแค่ในช่วงเทศกาล ส่วนตัวผมไม่ได้เป็นดีไซเนอร์ก็เลยทำวิจัยเกี่ยวกับ Food Literacy เพื่อให้คนสนใจประเด็นนี้และเข้าใจว่ากระบวนการผลิตอาหารเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม สังคม ศิลปะ วัฒนธรรมยังไงได้บ้าง ไม่ใช่แค่ว่ากินแล้วดีหรือไม่ดี” ร่วมสร้างสรรค์งานออกแบบที่ดีต่อโลกใบนี้ ฟ้าใส-หัสมา จันทรัตนา นักออกแบบที่สนใจการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในเชิงบวก อาสาพาเราเดินชมนิทรรศการ Regenerative Commodities บนพื้นที่ชั้นสาม และอธิบายถึงแนวคิดในการออกแบบชิ้นงานที่ให้ความสำคัญกับการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไว้อย่างน่าสนใจว่า “เราและเพื่อนๆ ทดลองใช้วัสดุและวิธีการผลิตหลายแบบ อย่างเช่น Mycelium Unites! เป็นผลงานของคุณเยลกับคุณจีโน่-มาฆวีร์ สุขวัฒโน ที่ทำร่วมกับ Mush Composites ในนิทรรศการนี้จะได้เห็นขั้นตอนการเพาะไมซีเลียมซึ่งใช้ผลผลิตที่เหลือจากการเกษตรเป็นสารตั้งต้น ซึ่งเราจะโชว์กระบวนการงอกของเห็ดราและผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นวัสดุคอมโพสิตที่น้ำหนักเบา ทนไฟ นำไปใช้กับงานตกแต่งภายใน ทำเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านได้” “ส่วนของคุณอาย-ไอริณ ปุรสาชิต เป็นการนำขยะจากอุตสาหกรรมดอกไม้มาทำเป็นภาชนะใส่ดอกไม้ด้วยวิธีการผลิตหลากหลายรูปแบบ แล้วก็จะมีการจัดเวิร์กช็อปร่วมกับ Pica สอนทำเครื่องเขียนจากวัสดุธรรมชาติด้วย และของฟ้าใสเองเป็นงาน Installation ที่โชว์กระบวนการกู้คืนวัสดุกลับมา ซึ่งเรานำเศษวัสดุเหลือทิ้งหลังจากการก่อสร้าง พวกเศษหิน อิฐ ดิน ทราย ปูน มาทำเป็น Biomaterials หรือวัสดุชีวภาพ เพื่อพูดถึงมุมมองที่มีต่อวัสดุก่อสร้างในปัจจุบันว่าเราจะสร้างทางเลือกใหม่ๆ ในการนำสิ่งเหล่านี้มาทำอะไรได้บ้าง” ทางด้านของท็อทได้ช่วยเล่าเสริมเกี่ยวกับผลงานของอุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี แฟชั่นดีไซเนอร์ที่ผลักดันเรื่องสโลว์แฟชั่น ผ่านการเป็นผู้ประสานงานเครือข่าย Fashion Revolution ไว้ดังนี้ “ผลงานในโปรเจกต์นี้คุณอุ้งเขาสำรวจเรื่องเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งย้อมด้วยสีที่สกัดจากก้อนหินและดินจากลุ่มแม่น้ำภาคเหนือ โดยมีการสอดแทรกวัฒนธรรมชุมชนและชนเผ่าต่างๆ ไว้ในผลงาน รวมถึงมีการเลือกใช้สีและดีไซน์ที่ช่วยส่งเสริมเรื่อง Mindfulness และมีการจัดเวิร์กช็อปสอนสกัดสีจากวัสดุธรรมชาติด้วย” ผลงานอีกชิ้นที่น่าสนใจคือ EXTRUDE จาก MORE แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่นำวัสดุเหลือใช้มาสร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้ใช้ที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน ซึ่งอัน-อภิสรา ห่อไพศาล สมาชิก Ctrl+R Collective และดีไซน์ไดเรกเตอร์ของแบรนด์อธิบายว่า “เราทำการแปรรูปพอลิเมอร์และพลาสติกรีไซเคิลให้คนรู้สึกสนใจอยากใช้งานมากขึ้น โดยนำขวดน้ำพลาสติกของใกล้ตัวที่คนทั่วไปใช้กันอยู่ทุกวันมาแยกสีแล้วทดลองขึ้นรูปเป็นท่อทรงกระบอก ที่นำไปใช้งานได้หลากหลาย เช่น ประกอบเป็นชั้นวางของ โคมไฟ ผนังกั้นห้อง และเก้าอี้สตูล” ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของ Regenerative Commodities – Exhibition & Experiences เท่านั้น หากต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่เกี่ยวกับงานออกแบบที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมสร้างความเปลี่ยนแปลง และทำความรู้จัก Ctrl+R Collective ให้มากขึ้น สามารถติดตามพวกเขาได้ทาง www.facebook.com/ctrlr.collective–Bangkok Design Week 2024Livable Scapeคนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี27 Jan – 4 Feb 2024#BKKDW2024#BangkokDesignWeek#LivableScape
22 ก.พ. BBBB
ExperienceScape ชุบชีวิตเมืองเก่าย่านพระนคร โดย Urban Ally และ DecideKit
ExperienceScape ชุบชีวิตเมืองเก่าย่านพระนคร สร้างความเป็นไปได้ใหม่ในการพัฒนาพื้นที่ โดย Urban Ally และ DecideKit‘ย่านพระนคร’ ถือเป็นอีกหนึ่งย่านที่โดดเด่นและถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ หลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ Urban Ally หรือ ศูนย์มิตรเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นในปี 2564 ทางศูนย์ได้ทำการศึกษาวิจัยและลงพื้นที่สำรวจเมืองอย่างจริงจัง อีกทั้งยังจับมือกับพันธมิตรหลายฝ่าย ร่วมกันออกแบบเมืองให้น่าอยู่และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ย่านประวัติศาสตร์ ผ่านโปรเจกต์พัฒนาเมืองหลากหลายรูปแบบ รวมถึงรับหน้าที่เป็นโฮสต์ประจำย่านพระนคร ซึ่งครั้งนี้ Urban Ally ใช้ชื่อเทศกาลว่า ‘มิตรบำรุงเมือง LIVE’ ภายใต้ธีม Everyday-life Festival โดยมีจุดจัดกิจกรรมกระจายตัวรอบย่านพระนครมากถึง 19 สถานที่ จากกิจกรรมมากมายที่ Urban Ally ตะลุยทำทั่วย่านพระนคร ไฮไลต์สำคัญที่โดดเด่นจนไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ‘ExperienceScape’ โปรเจกต์สร้างสีสันให้กับสถาปัตยกรรมและพื้นที่รกร้างในย่านเมืองเก่า ให้พื้นที่เหล่านี้กลับมามีชีวิตชีวาและได้รับความสนใจจากผู้คนอีกครั้ง ผ่านงานศิลปะ New Media Art และ Projection Mapping โดยมี DecideKit บริษัทออกแบบโมชันกราฟิกสัญชาติไทยที่โด่งดังไกลระดับโลกมาร่วมเป็นคิวเรเตอร์ รวมถึงได้รับความร่วมมือจากสตูดิโออื่นๆ อีกหลายแห่ง อาทิ Kor.Bor.Vor, The Motion House, Yellaban, Yimsamer และดีไซเนอร์ต่างชาติทั้งจากฝรั่งเศส มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ไฮไลต์สำคัญที่โดดเด่นจนไม่พูดถึงไม่ได้ของย่านพระนครในปีนี้ คือ ‘ExperienceScape’ โปรเจกต์สร้างสีสันให้กับสถาปัตยกรรมและพื้นที่รกร้างในย่านเมืองเก่า เปลี่ยนประสบการณ์เมืองเก่า สร้างบทสนทนาใหม่เรื่อง ‘พื้นที่สาธารณะ’อาจารย์พี – ดร.พีรียา บุญชัยพฤกษ์ รองผู้อำนวยการศูนย์มิตรเมือง เผยถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์ ExperienceScape ว่า “โปรเจกต์นี้เราทำขึ้นจากสองมุมมอง มุมแรกคือทำยังไงให้พื้นที่ในชีวิตประจำวันมีเสน่ห์มากขึ้น เราสามารถยืดเวลาการใช้งานสวนสาธารณะตอนกลางคืนได้ไหม ส่วนอีกมุมคือเราอยากทำให้คนสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ปิดร้างอย่างประปาแม้นศรี หรือพื้นที่ราชการบางแห่ง เราสามารถทำให้เป็นพื้นที่พลเมืองนอกเวลาราชการได้ไหม เราจึงทดลองผ่านเทศกาลว่าจะนำพื้นที่เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ยังไงบ้าง” “จุดมุ่งหมายของ ExperienceScape คือเราต้องการสร้างภาพจำและประสบการณ์ใหม่ให้กับย่านพระนคร โดยยังยึดโยงอยู่กับประวัติศาสตร์เดิมของพื้นที่ ซึ่ง Urban Ally รับหน้าที่รวบรวมเนื้อหาและวิเคราะห์คัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม ส่วนบทบาทการคิวเรตจะเป็นทีม DecideKit กับ Kor.Bor.Vor ที่ชักชวนเครือข่ายศิลปินมาร่วมงาน เนื้อหาของแต่ละสถานที่ก็จะพูดถึงอดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่ศิลปินนำมาขยายความหรือตีความใหม่”“แนวคิดการพัฒนาเมืองผ่านเทศกาลทำให้เราเห็นความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่สาธารณะเพื่อคนทั่วไปมากขึ้น เทศกาลเปิดโอกาสให้เราได้ทดลองสิ่งใหม่ๆ ในพื้นที่เหล่านี้ได้ อย่างศาลาว่าการกรุงเทพมหานครที่เป็นพื้นที่ปิด แต่เทศกาลทำให้เราเข้าไปจัดกิจกรรมในนั้นได้และสร้างบทสนทนาเกี่ยวกับพื้นที่เมืองได้มากขึ้น” เล่าประวัติศาสตร์พื้นที่ด้วยศิลปะและเทคโนโลยีจิ๊บ – จันทร์เพ็ญ กูลแก้ว ผู้ก่อตั้ง DecideKit เล่าเสริมในมุมของการเป็นคิวเรเตอร์ผู้คัดสรรผลงานศิลปะ New Media Art และ Projection Mapping ในโปรเจกต์นี้ว่า “ปีนี้เรามีหัวเรือใหญ่อีกคนที่ทำงานร่วมกันคือ กบ Kor.Bor.Vor (พงษ์ภาสกร กุลถิรธรรม) และเราก็เลือกกลุ่มศิลปินที่ทำ Projection Mapping ทั้งในแง่คอมเมอร์เชียลและสายประกวดในต่างประเทศมาร่วมงาน ซึ่งแต่ละทีมมีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันและเก่งทุกทีม ถ้าเขาทำงานไปโชว์ในต่างประเทศได้ ก็น่าจะมีพื้นที่ให้เขาได้โชว์งานในประเทศด้วยเหมือนกัน อย่าง DecideKit เราลองทำงานในตลาดต่างประเทศมาหลายปี เวลาเอางานไปโชว์ที่ต่างประเทศ คนมาดูงานกันเยอะมาก ในญี่ปุ่นขายบัตรก็เต็มทุกรอบ ยุโรปคนก็มาดูกันหนาแน่นทุกประเทศ ซึ่งคนไทยก็น่าจะอยากดูงานแบบนี้แต่ไม่ค่อยมีศิลปะให้เสพ เราเลยอยากกลับมาทำให้คนไทยเสพบ้าง” “ศิลปินแต่ละคนเขาพยายามเอาประวัติศาสตร์ของแต่ละพื้นที่มาสร้างงานเพื่อส่งต่ออนาคต อย่างเช่น ป้อมมหากาฬ The Motion House ก็ไปรีเสิร์ชมาว่าตรงนี้เคยเป็นโรงลิเก ผลงานเขาก็จะใช้แรงบันดาลใจจากสีของลิเก หรืออย่างอีกโปรเจกต์ที่เราทำร่วม Urban Ally ที่จังหวัดตรัง เราก็เอาเรื่องราวในท้องถิ่นขึ้นมาชู ทำให้คนที่มาดูงานสัมผัสได้เข้าใจง่าย ไม่แอ็บสแตร็กต์เกินจนเข้าไม่ถึง วันหนึ่งเราอาจจะทำงานที่หลากหลายกว่านี้ได้ แต่วันนี้ที่เราเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน การสื่อสารแบบตรงไปตรงมาน่าจะช่วยเปิดใจผู้รับสารได้มากกว่า” เรียนรู้อดีตเพื่อส่งต่ออนาคตเมื่อถามถึงครั้งแรกที่ลงพื้นที่ประปาแม้นศรี และได้เห็นหอเก็บน้ำคู่ที่ถูกปิดร้างมานาน ในมุมมองของนักออกแบบมีความรู้สึกอย่างไร จิ๊บตอบทันทีว่า “ทำเถอะ มันยูนีคมาก มันไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่ตึก แต่เป็นสัญลักษณ์ที่เจ๋งมาก เราไม่เคยรู้เลยว่าตรงนี้มีแท็งก์ประปาสองแท็งก์ ถ้าอาจารย์พีไม่ชวนเข้ามาดู พอนั่งอ่านประวัติยิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างให้คนรับรู้ ที่นี่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ถึงเราสร้างสถาปัตยกรรมแบบนี้ขึ้นมาใหม่ก็ไม่ได้มีเรื่องราวและคุณค่าแบบนี้” “อย่างน้อยการเปิดพื้นที่นี้ขึ้นมาก็ทำให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่ารากเหง้าของเราเป็นยังไง ถ้าเราเข้าใจรากเหง้าของตัวเองดี เราก็จะส่งต่อไปถึงอนาคตได้ดี สถานที่ทุกแห่งในเมืองเก่ามีคุณค่ามาก เพียงแค่เรามองเห็นหรือเปล่า เราเคยหันกลับไปมองไหม คุณค่าของสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้เงินสร้างได้ มันคือเรื่องราวที่ผ่านกาลเวลา แล้วเวลาเป็นสิ่งที่ซื้อไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถสร้างสถานที่ที่มีความหมายแบบนี้ขึ้นมาได้”–Bangkok Design Week 2024Livable Scapeคนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี27 Jan – 4 Feb 2024#BKKDW2024#BangkokDesignWeek#LivableScape
15 ก.พ. BBBB
RUNIVERSE BKK 2592
RUNIVERSE BKK 2592เบื้องหลังภารกิจวิ่งเพื่อกอบกู้กรุงเทพฯ ให้รอดในอีก 30 ปีข้างหน้า หากอยากเริ่มต้นออกกำลังกาย ‘การวิ่ง’ คงเป็นสิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง เพราะเป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้ทักษะเฉพาะตัวและอุปกรณ์มากนัก สำหรับมือใหม่ขอแค่มีรองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เฟียต-ธนพงศ์ พานิชชอบ ผู้ร่วมก่อตั้ง YIMSAMER สตูดิโอออกแบบประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับศิลปะและการออกแบบ ก็เป็นคนหนึ่งที่เข้าสู่วงการวิ่งแบบเตาะแตะ ก่อนจะเอาจริงเอาจังมากขึ้น จนนำมาสู่การพัฒนาโปรเจกต์ RUNIVERSE BKK 2592 ที่เชิญชวนทุกคนมายืดเส้นยืดสายร่วมกันในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ครั้งนี้แต่ไม่ใช่งานวิ่งธรรมดา เพราะเป็นการวิ่งสำรวจกรุงเทพฯ ในอีก 30 ปีข้างหน้าที่ถูกเนรมิตขึ้นโดยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องสวมบทบาทเป็นหน่วยพิทักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กร Bangkok Risk Zero ที่เดินทางไปยังโลกอนาคตในปี พ.ศ. 2592 เพื่อค้นหางานวิจัยที่สูญหายและหาวิธีกอบกู้เมืองจากวิกฤติสิ่งแวดล้อม ทั้งความแออัดของเมือง ภาวะโลกร้อน ปัญหาฝุ่น PM 2.5 พื้นที่ที่กลายเป็นชุมชนใต้น้ำ ซึ่งมีต้นตอมาจากการกระทำของพวกเราทุกคนที่จะส่งผลกระทบไปถึงอนาคตนักออกแบบที่ออกวิ่งเพื่อเยียวยาร่างกายและจิตใจ“ก่อนหน้านี้เฟียตทำงานหนักแล้วร่างกายกับสุขภาพจิตพังมาก จนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งชวนไปวิ่ง ครั้งแรกวิ่งได้ประมาณสองกิโล เพซ 8-9 บางคนเดินยังไวกว่า แต่เราก็ซ้อมมาเรื่อยๆ และเริ่มจริงจังขึ้นในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟียตหันมาวิ่งเทรลและค้นพบว่ามันช่วยเติมพลังให้กับเราในหลายมิติ เลยอยากใช้งานนี้สื่อสารไปถึงเพื่อนๆ ศิลปินและนักออกแบบให้หันมาดูแลสุขภาพตัวเองกันบ้าง”“ตอนแรกเฟียตอยากจัดงานวิ่งในย่านเจริญกรุงแล้วมีภารกิจให้คนร่วมสนุก แต่จัดซิตี้รันไม่ได้เพราะมีฝุ่น PM 2.5 เลยเกิดไอเดียในการนำประเด็นนี้มาพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเอาการวิ่งมารวมกับประสบการณ์อิมเมอร์ซีฟผ่านภาพเคลื่อนไหวและมัลติมีเดีย แล้วเฟียตก็ไปเจองานวิจัยของหน่วยวิจัยอนาคตและนโยบายเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เขาคาดการณ์ว่ากรุงเทพฯ ในอีก 30 ปีข้างหน้าจะเป็นยังไง ซึ่ง รศ.ดร.วิจิตรบุษบา มารมย์ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัย เขายินดีสนับสนุนข้อมูลส่วนนี้ ให้เราเอามาทำเป็นงานออกแบบประสบการณ์แบบที่เราถนัดได้”ร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่ทำให้วิ่งไปได้ไกลขึ้น“ชื่อเต็มๆ ของงานนี้คือ RUNIVERSE – IMMERSIVE RUNNING EXPERIENCE Powered by Amino Vital ซึ่งเราได้รับการสนับสนุนจากบริษัทที่ผลิตเจลเพิ่มพลังงานสำหรับนักวิ่ง เขาฟังโปรเจกต์แล้วซื้อเลย เขาอยากช่วยผลักดันให้โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะอยากสร้างความตระหนักในกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่เป็นนักออกแบบ ให้หันมาเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย”“ผู้สนับสนุนรายต่อมาคือ Fitness First ฟังปุ๊บเขายินดีสนับสนุนลู่วิ่งทันทีเลยเหมือนกัน เพราะพวกศิลปินนักออกแบบเป็นกลุ่มที่เข้าถึงยากจริงๆ คนพวกนี้ดื้อมากหากจะชวนไปออกกำลังกายโดยไม่มีอะไรล่อ รูปแบบกิจกรรมจึงออกมาเป็นฟิตเนสเธียเตอร์ ที่เอาเรื่องการออกกำลังกายมาผนวกเข้ากับละครเวที ในห้อง Virtual Media Lab ของ CEA ซึ่งมีจอขนาดใหญ่มากๆ ที่วางระบบแสง สี เสียงเอาไว้ เราก็เอาลู่วิ่งเข้าไปวางและมีเทรนเนอร์มืออาชีพจาก Fitness First คอยนำกิจกรรมว่าตอนนี้ต้องวิ่งด้วยความเร็วเท่าไร ใช้ค่าความชันเท่าไร” “และเพื่อให้การสวมบทบาทเป็นหน่วยพิทักษ์สิ่งแวดล้อมมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น เฟียตเลยชวนคุณงิ่ง-รัชชัย รุจิวิพัฒน์ จากคณะละครใบ้ Babymime มาช่วยเป็นแอ็กติ้งโค้ชให้กับเหล่าเทรนเนอร์ เพื่อให้เขาเข้าใจวิธีการสื่อสารแบบละครเวทีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมี AssetWise ที่สนับสนุนงบประมาณและภาพอาคารต่างๆ ที่เรานำมาใช้ประกอบฉากด้วย”RUNIVERSE ยังคงรันต่อบนความเป็นไปได้ใหม่ๆ“โปรเจกต์นี้ถูกคิดเมื่อเดือนตุลาคม 2566 แล้วจะต้องเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2567 เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากผู้สนับสนุนและทีมเบื้องหลังที่เก่งขนาดนี้ คงเป็นไปได้ยากมากที่จะเอาประสบการณ์อิมเมอร์ซีฟมาผสมผสานกับกีฬาและละครเวที สิ่งหนึ่งที่อยากแชร์ในฐานะนักออกแบบ คือ ถ้าเรารู้จักเครือข่ายต่างๆ ในวงกว้างมากขึ้น สิ่งนี้จะสามารถเพิ่ม Potential ให้กับนักออกแบบหน้าใหม่ได้ เฟียตดีใจมากที่มันเกิดขึ้นแล้ว”“เฟียตมีโอกาสคุยกับผู้สนับสนุนบางท่านว่าโปรเจกต์นี้จะต่อยอดไปในทิศทางไหน อาจจะเป็นแอปพลิเคชันที่สร้างประสบการณ์อิมเมอร์ซีฟ หรือประยุกต์ไปเป็นคลาสออกกำลังกาย ซึ่งส่วนใหญ่เราคุยกันในแง่ของเครื่องมือ โดยที่คอนเทนต์ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่อง BKK 2592 เพราะคำว่า RUNIVERSE มันจะเป็นเวิร์สของยุคหิน ยุคไดโนเสาร์ หรือเวิร์สของอะไรก็ได้”ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/yimsamer–Bangkok Design Week 2024Livable Scapeคนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี27 Jan – 4 Feb 2024#BKKDW2024#BangkokDesignWeek#LivableScape
08 ก.พ. BBBB
ดีไซน์วีคแล้วไปไหน
ดีไซน์วีคแล้วไปไหน จากความตั้งใจของเทศกาลฯ ที่ให้โจทย์จริงจากกรุงเทพมหานคร (HACKBKK) และเปิด opencall เพื่อชวนนักสร้างสรรค์ มาร่วมกันคิด ทดลองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาในมิติต่างๆ เพื่อให้เมืองน่าอยู่ยิ่งขึ้น มีหลากหลายผลงานนำเสนอแนวทางที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง จุดเสี่ยงภัย พื้นที่สีเขียว พื้นที่สาธารณะ ขยะ มลพิษ กลุ่มเปราะบาง ไปจนถึงชุมชนเข้มแข็ง และสร้างจุดเด่นของย่านทาง Bangkok Design Week จึงได้ส่งต่อให้กับทาง Bangkok City Lab ของกรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนาต่อให้เกิดการใช้งานจริง โดยทุกท่านสามารถแสดงความคิดเห็นเพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาต่อไป 1. การเดินทาง Go Go Bus บริการเดินรถไฟฟ้าขนาด 20 ที่นั่ง ที่มีการสำรวจเส้นทางใหม่เพื่อเชื่อมย่านเมืองเก่าจากเจริญกรุง-เยาวราช-พระนคร-นางเลิ้ง-ปากคลองตลาด ช่วยลดการใช้รถยนต์ในเขตเมืองเก่าที่มีที่จอดรถจำกัดและช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยเป็นความร่วมมือของกลุ่มนักออกแบบMayday เครือข่ายบัสซิ่งจากขอนแก่น และบริษัท อรุณพลัส จำกัดที่พัก และป้ายบอกคิววินมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์เป็นการขนส่งที่เป็นเหมือนเส้นเลือดของการเดินทางในกรุงเทพฯ จึงมีผู้ให้บริการกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ และมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เป็นที่มาของแนวคิดการปรับปรุงจุดพักคอยผู้ขับและผู้ใช้เพื่อความสะดวกและเกิดทัศนียภาพที่สวยงาม บริเวณซอยสุขุมวิท 26 โดยกลุ่มสถาปนิกและนักออกแบบ A49 & Friends และการพัฒนาป้ายบอกคิวใช้บริการที่วินมอเตอร์ไซค์ คลองบางบัว โดย City Lab กรุงเทพมหานครระบบป้ายนำทางจักรยาน สภาพถนนของกรุงเทพฯ มีความหลากหลายสูง ทำให้การออกแบบเส้นทางสัญจรด้วยจักรยานในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน บางจุดควรเลี่ยงการปั่นบนถนนใหญ่ไปมุดตามซอกซอย บางจุดควรขึ้นบนฟุตบาท เป็นต้น ทำให้เกิดการทำลองทำข้อมูลเส้นทาง ข้อเสนอรูปแบบป้ายที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่แต่ละรูปแบบ พร้อมทั้งรับความคิดเห็นจากผู้ชม แล้วให้ข้อมูลเส้นทาง + ทำป้ายสัญลักษณ์จริงเพื่อชวนให้ผู้ใช้จักรยาน (ทั้งที่เอามาเอง และใช้ bike sharing ที่กทม.กำลังจะติดตั้ง) เดินทางในพื้นที่ที่กำหนดภายในเทศกาลเพื่อทดลองและรับ feedback และนำข้อมูลที่ได้รับไปพัฒนาต่อไป2. การทดลองปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ การทดลองใช้งานพื้นที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เป็นพื้นที่สาธารณะ จากนโยบายการย้ายสำนักงานศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร จากเสาชิงช้าไปที่ทำการดินแดง กลุ่ม Urban Ally จึงทดลองทำพื้นที่สาธารณะให้มีการใช้งานที่หลากหลาย นอกเหนือจากการปรับปรุงพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพิพิธภัณฑ์ โดยติดตั้ง People Pavilion – the elevated ground โดยกลุ่ม SP/N x Nerd studio ไว้ในพื้นที่ส่วนกลางของศาลาว่าการฯ เพื่อเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนและทำกิจกรรม สนามเดินเล่นแบบถอดประกอบได้ การออกแบบพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างสำหรับปีนป่ายหรือเดินเล่นจากวัสดุที่สามารถถอดประกอบและปรับขนาดได้ตามพื้นที่ โดยกลุ่ม A49& Friend เพื่อให้ทางกรุงเทพมหานคร สามารถนำไปทดลองใช้งานในพื้นที่อื่น ๆ ที่ต้องการสิ่งปลูกสร้างที่ยืดหยุ่นตามขนาดพื้นที่และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โต๊ะพับ พร้อมร่ม ความร่วมมือระหว่างร้านผลิตร่ม ศิลป์เมือง และนักออกแบบ ease studio ภายใต้โครงการ Made in Hualampong โดยการเพิ่มฟังก์ชันให้เป็นที่นั่งที่ช่วยน้ำหนักขาตั้งของร่ม จึงไม่ต้องใช้แท่งปูนเป็นที่เสียบร่ม เมื่อร้านค้าริมทางเก็บร้าน จึงไม่เหลือแท่งปูนทิ้งไว้บนฟุตบาทหรือถนน เป็นทางเลือกสำหรับการพัฒนาร้านค้าริมทาง Pocket oasis gardenแนวคิดในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่เป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก ผนวกกับ Street Furniture ใช้งานในพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้สามารถ ติดตั้ง เคลื่อนย้ายได้สะดวก มีการออกแบบโครงสร้างรองรับไม้เลื้อย เมื่อต้นไม้เจริญเติบโตจนปกคลุมโครงสร้างทำให้เกิด Green shading ที่ทำหน้าที่ช่วยบังแดดและ สร้างสภาวะน่าสบายให้กับพื้นที่ใช้งานด้านล่าง ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศแบบเมืองร้อนของประเทศไทยPuppup space (ปุ๊บปั๊บสเปซ) The live parklet (Intervention) การทดลองออกแบบพื้นที่สาธารณะขนาดเล็กบนพื้นที่จอดรถ 2 – 3 ช่อง ภายใต้แนวคิด “การคืนพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า” โดยการเปลี่ยนพื้นที่ของรถให้กลายเป็นพื้นที่กิจกรรมของชุมชน หรือพื้นที่สาธารณะชั่วคราว สำหรับการพักผ่อน เป็นโครงการต่อยอดมาจากงานทดลองปรับปรุงพื้นที่ให้เอื้อต่อการเดินและการใช้จักรยาน โดยเพิ่มพื้นที่ทางเดิน กำหนดช่องจราจรให้ชัดเจน ช่วยลดความเร็วจราจรเพื่อความปลอดภัย ในชุมชนย่านเขตพระนคร3. การอยู่ร่วมกันของคนและสัตว์ อัณฑะเหมียวครองเมือง โดยจรจัดสรร นิทรรศการงานศิลปะเพื่อจัดการปัญหาน้องแมวจร โดยกลุ่มจรจัดสรร ที่นอกจากจะช่วยสร้างการรับรู้ถึงความจำเป็นในการทำหมันเพื่อคุมกำเนิดจำนวนประชากรแล้ว แต่ยังสามารถระดมทุนและช่วยหาบ้านอุปการะให้กับแมวอีกหลายตัว เป็นรูปแบบกิจกรรมที่กรุงเทพมหานครสามารถนำไปส่งเสริมให้เกิดขึ้นอีกในหลายพื้นที่บ้านนกบ้านกระรอก ถนนในกรุงเทพมหานครที่มีต้นไม้สองข้างทางมักเป็นที่อยู่ของนก กระรอก หรือสัตว์ขนาดเล็กอื่นๆ เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ในเมือง A49& Friend จึงออกแบบบ้านเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ตามต้นไม้ เพื่อเป็นที่อยู่ของสัตว์ตัวน้อยและสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้เดินเท้า–Livable Scape คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดีhard matters . heart matters . design matters27 Jan – 4 Feb 2024#BKKDW2024#BangkokDesignWeek#LivableScape
08 ก.พ. BBBB